การเดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยง

การเดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยง หมอน SleepAngel คุณสมบัติพิเศษที่เหมาะแก่การเดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยง คุณรู้หรือไม่ว่าการเดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์เครื่องนอน SleepAngel เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับห้องที่มีสารก่อภูมิแพ้และห้องสำหรับสัตว์เลี้ยง โรงแรมไม่ใช่ทุกแห่งที่ให้บริการห้องพักพร้อมสัตว์เลี้ยง เนื่องจากการทำความสะอาดหลังจากเข้าพัก โดยเฉพาะการกำจัดฝุ่นและขนจากพื้นผิวนุ่มๆ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและใช้เวลานาน นี่คือเหตุผลที่ SleepAngel เหมาะสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ และยังเหมาะสำหรับห้องที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงอีกด้วย ผลิตภัณฑ์เตียง SleepAngel® พร้อมเทคโนโลยีตัวกรอง PneumaPure®: • เครื่องนอนที่สามารถป้องกันสารก่อภูมิแพ้ได้ 100% – วัสดุที่เป็นเกราะป้องกันที่ไม่เหมือนใครและเทคโนโลยีแผ่นกรองช่วยให้มีเพียงอากาศบริสุทธิ์เท่านั้นที่เข้าสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องนอน• ผลิตภัณฑ์ไม่ต้องซักและสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ – ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาระงานของเจ้าหน้าที่

นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

การนอนหลับให้สนิทเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพ หมอน SleepAngel สามารถป้องกันไรฝุ่น เชื้อโรค แบคทีเรีย และช่วยให้คุณหลับสบายที่สุด การสร้างพื้นที่ปลอดภัยแม้อยู่ในความฝันเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ และต่อไปนี้คือคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีป้องกันห้องของคุณจากสารก่อภูมิแพ้: ✔️ ดูดฝุ่นเป็นประจำด้วยเครื่องดูดฝุ่น HEPA คุณภาพสูง นำพรมออกจากห้องหรือใช้พรมที่ทำความสะอาดได้ ✔️ ทำความสะอาดผ้าม่าน ทำความสะอาดมู่ลี่เป็นประจำหรือถอดออก ✔️ ใช้หมอน SleepAngel ที่ไม่สะสมสารก่อภูมิแพ้ เนื่องจากหมอนอยู่ใกล้กับตา จมูก หู และปากมากที่สุด อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ การเลือกใช้ SleepAngel จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสภาพแวดล้อมการนอนที่สะอาด ✔️ ทำความสะอาด ปลอกหมอน ผ้าปูเตียง เป็นประจำ ✔️ ปิดหน้าต่าง ทำความสะอาดเชื้อราและหยดน้ำจากหน้าต่าง ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรอง HEPA และป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงของคุณเข้ามาในห้องนอน ✔️ จัดระเบียบห้องนอนของคุณและใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย (พื้นผิวแข็ง) หมอน SleepAngel  ป้องกันสารก่อภูมิแพ้ 100% : มีวัสดุที่เป็นเกราะป้องกันที่ไม่เหมือนใครและเทคโนโลยีแผ่นกรองช่วยให้อากาศบริสุทธิ์เท่านั้นเข้าสู่ หมอน ทำให้เชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ และไวรัส ไม่สามารถเข้าสู่หมอนของ SleepAngel ดูแลรักษาง่าย :  สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ ไม่ต้องซักเหมือนหมอนทั่วไป

รู้ทันโรคภูมิแพ้ในเด็ก เด็กแพ้ฝุ่น ภูมิแพ้อาหาร ที่แม่ป้องกันได้

แม้ว่าพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูกจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าคุณจะไม่มีทางป้องกันลูกรักห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ในเด็ก เรามีเทคนิคป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็กมาแนะนำ สรุป เลือกอ่านตามหัวข้อ ลูกบอบบางแค่ไหน แม่ก็ปกป้องได้ เด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็กนั้น ระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการระคายเคืองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ง่าย เช่น มลภาวะ ฝุ่น ควัน หรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ อันเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ในเด็ก หรือลูกแพ้ฝุ่น แพ้ไรฝุ่น แม้ว่าลูกจะบอบบางแค่ไหน หากคุณแม่รู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก็สามารถปกป้องลูกน้อยจากสาเหตุการแพ้ได้ค่ะ รู้จักกับสารก่อภูมิแพ้สาเหตุของภูมิแพ้ในเด็ก ภูมิแพ้ในเด็ก หรือโรคภูมิแพ้ในเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งเป็นระบบกลไกที่มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก เช่น เชื้อโรค สารเคมี ฝุ่น พืช ละอองเกสร ขนสัตว์ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ดังกล่าว เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ และสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร 1. สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งพบทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยพบว่าสารก่อภูมิแพ้ในบ้านนั้นมีหลากหลายได้แก่ ไรฝุ่น เศษซากแมลงสาบ รังแคแมว และสุนัข ส่วนสารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน ได้แก่ ละอองเกสรของดอกไม้ หรือ พืชต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้เด็ก ที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ เศษซากแมลงสาบ รังแคแมวและสุนัข ตามลำดับ 2. สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหารชนิดนั้น ๆ จะเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ นม ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเหลือง แป้งสาลี อาหารทะเล งา เมล็ดพืช เป็นต้น โดยอาการแพ้จะมีการแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบทั้งระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และตา ภูมิแพ้ในเด็ก คุณแม่ทำอย่างไร เมื่อลูกแพ้อาหาร หากลูกอายุน้อยกว่า 6 เดือน และให้ลูกกินนมแม่ จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพราะนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด และยังมีคุณสมบัติเป็น Hypo-Allergenic หรือ H.A. ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ และนมแม่มีสารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน หรือพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ ใยอาหารหลักที่สำคัญที่ช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งโอลิโกแซคคาไรด์ ประกอบด้วยใยอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง 5 ใยอาหารหลัก (5 Oligosaccharide หรือ 5 HMO เช่น 2’FL, DFL, LNT, 6’SL และ 3’SL) และยังมีโพรไบโอติกหลายชนิด เช่น B. lactis (บีแล็กทิส) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้ได้อีกด้วย อีกทั้งโปรตีนในนมแม่บางส่วน ได้ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง หรือที่เรียกว่า PHP (Partially Hydrolyzed Proteins ) ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมเข้าร่างกายของลูกน้อย แต่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ลูกแพ้ เช่น หากลูกแพ้ไข่ ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไข่ โดยพบว่าอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะไปสู่น้ำนมที่ให้ลูกน้อยรับประทานด้วย แต่ในกรณีที่คุณแม่ให้นมลูกน้อยไม่ได้ อาจมีสาเหตุมาจากภาวะร่างกายของคุณแม่ เช่น คุณแม่มีน้ำนมน้อย หรือคุณแม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่ลูกแพ้ได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที ภูมิแพ้ในเด็ก คุณแม่ทำอย่างไร เมื่อลูกเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่น  ไรฝุ่นเป็นสิ่งที่ก่อภูมิแพ้ในบ้านมากที่สุด ส่งผลให้ลูกเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่นหรือเด็กแพ้ฝุ่น โดยห้องนอนเป็นบริเวณที่พบไรฝุ่นมากที่สุด โดยเฉพาะส่วนของเครื่องนอน ฟูก หมอน ผ้าห่ม พรม ผ้าทอต่าง ๆ เก้าอี้และโซฟา เมื่อพบว่าลูกเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่น คุณแม่สามารถจัดการไรฝุ่นได้โดยวิธีการเหล่านี้ เช่น เมื่อลูกน้อยยังบอบบาง อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ในเด็ก คือ ซากแมลงสาบพบมากสุดในห้องครัว นอกจากนี้สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบมีความสัมพันธ์กับโรคหืดด้วย คุณแม่จึงต้องมีแผนควบคุมกำจัดอย่างเป็นระบบเพื่อประสิทธิภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้เหยื่อล่อแมลงสาบ การจัดการเศษอาหารหรือน้ำที่เป็นแหล่งอาหารของแมลงสาบ รวมไปถึงการทำความสะอาดบ้านเช็ดถูฝุ่นเพื่อขจัดสารก่อภูมิแพ้ ควรดูแลพื้นผิวของห้องน้ำหรือห้องครัวให้แห้งไม่มีน้ำขัง และปิดจุดช่องต่าง ๆ ภายในบ้านเพื่อปิดทางเข้าของแมลงสาบ หากลูกน้อยมีอาการเป็นโรคหืด การใช้สเปรย์เพื่อฆ่าแมลงสาบอาจทำให้ลูกน้อยมีอาการระคายเคืองจากกลิ่นของสารระเหยได้ สาเหตุสุดท้ายที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในเด็ก คือ รังแคของสัตว์เลี้ยง พบว่าแมวและสุนัข เป็นสัตว์เลี้ยงที่ก่อภูมิแพ้หลัก ซึ่งมาจาก ขน รังแค ปัสสาวะ หรือน้ำลายของสัตว์ ซึ่งมักลอยอยู่ในอากาศนานกว่าสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น วิธีการจัดการที่มีประสิทธิภาพคือต้องนำสัตว์เลี้ยงออกจากบ้านหรือห้องที่ลูกน้อยอยู่เป็นประจำ หากสมาชิกในบ้านยังมีการเล่นกับสัตว์เลี้ยงอยู่บ้างก็จะมีโอกาสนำสารก่อภูมิแพ้เข้ามาในบ้านได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้พรม และจัดห้องให้มีอากาศถ่ายเทสะดวก ใช้เครื่องกรองอากาศ ร่วมกับอาบน้ำสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2 ครั้ง การดูแลลูกที่เป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่คุณพ่อจะต้องดูแลให้ครบองค์รวม นอกจากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้แล้ว ก็ควรรับประทานยาตามคำสั่งของคุณหมอให้ครบถ้วน ดูแลสุขอนามัยของลูกน้อยให้ดี สนับสนุนให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม คอยสังเกตอาการผิดปกติของลูกน้อยเพื่อให้บรรเทาอาการแพ้ของลูกน้อยนั่นเอง มีงานวิจัยพบว่าโรคภูมิแพ้บางประเภท สามารถหายได้เมื่อลูกน้อยโตขึ้น เช่น โดยส่วนใหญ่การแพ้ไข่จะหายไปเมื่อลูกอายุประมาณ 2-3 ปี หรือการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่ออายุประมาณ 3-5 ปี ขณะที่การแพ้บางประเภทก็อาจจะเป็นไปตลอดชีวิต เช่น ถั่วประเภทต่าง ๆ หรือแป้งสาลี ซึ่งจะต้องดูแลและเฝ้าระวังติดตามไปตลอด

“ภูมิแพ้ในห้องนอน” ภัยร้ายใต้หมอน กับวิธีลดไรฝุ่นให้เด็ดขาด

รู้ไหมว่า เจ้าตุ๊กตาหมีนุ่มน่ารักที่นอนกอดอยู่ทุกคืน วันดีคืนดีอาจกลายร่างมาทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่ามีวิญญาณ มีพลังงานซ่อนอยู่ในตุ๊กตา แต่เป็นเจ้าฝุ่นบ้าน ไรฝุ่นที่สิง หลบซ่อนตัวอยู่ในตุ๊กตา และในห้องนอน จนเป็นสาเหตุของอาการ “ภูมิแพ้ในห้องนอน” ภูมิแพ้ในห้องนอน เกิดจากอะไร ? ภูมิแพ้ในห้องนอน ส่วนใหญ่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม หรือแม้แต่ตุ๊กตาขนนุ่มน่ารัก ที่เรานอนกอดก่ายอยู่ทุกคืน มีอะไรในห้องนอนบ้าง ที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้ หรือ ภูมิแพ้กำเริบ ฝุ่นบ้าน (Dust) คือ อนุภาคขนาดเล็กซึ่งเกิดได้จากการที่วัตถุต่าง ๆ ถูกกระแทก ทุบ แตกออก ชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กก็ฟุ้งกระจายขึ้นสู่อากาศเป็นฝุ่น ฝุ่นมีตั้งแต่ขนาดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จนถึงขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งเมื่อเราสูดเข้าสู่ร่างกาย อาจก่อให้เกิดการอาการแพ้ในระบบทางเดินหายใจได้ ไรฝุ่นบ้าน (House Dust Mite) เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลเช่นเดียวกับ แมลง และแมง เพราะมีขา 4 ขาคู่ รูปร่างกลมรี แต่ขนาดเล็กกว่ามาก แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สิ่งที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้ คือ มูลของไรฝุ่น ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติเป็นสารก่อภูมิแพ้แก่คนได้ โดย “ไรฝุ่น” เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งในการก่อโรคภูมิแพ้ ฝุ่น และ ไรฝุ่นในห้องนอนมาจากไหนบ้าง ? ใครที่ชอบสะสมตุ๊กตาไว้ในห้องนอน ต้องนอนกอดทุกคืน อาจจะไม่รู้ว่าตุ๊กตาหน้าตาน่ารักๆ ที่เรา หรือลูกน้อยนอนกอดทุกคืน อาจมีบางอย่างสิงอยู่ในตุ๊กตานั้นคือเจ้าไรฝุ่น ที่สะสมอยู่ในขนตุ๊กตา ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ ทำให้ไอ หรือตื่นเช้ามามีอาการน้ำมูกไหล คันได้ ทุกครั้งที่เรานอนกลิ้งอยู่บนเตียงนอน เส้นใยของเครื่องนอน ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ก็จะมีการสึกหรอ ฉีกขาด ซึ่งเส้นใยผ้าเล็ก ๆ ที่หลุดออกมาก็จะฟุ้งกระจาย และสะสมอยู่ในห้องนอน เวลาที่เราขยับหมอน สะบัดผ้าห่ม ฝุ่นละอองเหล่านี้ก็ลอยคละคลุ้ง และเราก็สูดเอาฝุ่นละอองนั้นเข้าสู่ร่างกาย นอกจากฝุ่นแล้วบนที่นอน เครื่องนอนต่าง ๆ ยังเป็นแหล่งสะสมไรฝุ่นชั้นดี Advertisement อย่าคิดว่าฝุ่นละอองจะมาจากแค่จากใยผ้าต่าง ๆ เท่านั้น หนังสือก็เป็นแหล่งที่มาของฝุ่นเช่นกัน หากใครที่ชอบสะสมหนังสือ เก็บหนังสือไว้ในห้องนอนมาก ๆ มีกองหนังสืออยู่ข้างเตียงนอน ใยกระดาษก็หลุดออกมา และกลายเป็นฝุ่นผงเล็ก ๆ ที่เรามองแทบไม่เห็นสะสมอยู่ในห้องนอนเช่นกัน ทุกครั้งที่ออกไปนอกบ้าน แล้วกลับเข้ามาในบ้าน ในห้องนอน ตัวเราก็จะไปรับเอาฝุ่นละอองจากนอกบ้านมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ หญ้า ควันไอเสียรถยนต์ หากเข้ามาในห้องนอน เกลือกกลิ้งบนที่นอน โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำให้เรียบร้อย ฝุ่นจากนอกบ้านก็จะสะสมเพิ่มขึ้น ถึงแม้เราจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่ว่าร่างกายก็ยังต้องมีเซลล์ผิวหนังชั้นนอก ที่หลุดลอกออกมา รวมทั้งเส้นผม รังแค ต่าง ๆ ด้วย วิธีการจัดห้อง เพื่อป้องกัน ภูมิแพ้ในห้องนอน

ไรฝุ่นกัดทำยังไงดี? และมีวิธีกำจัดยังไงบ้าง!

ขณะนอนหลับพักผ่อนอย่างมีความสุข หลายคนอาจไม่รู้ว่ามีภัยร้ายบางอย่างแฝงอยู่ ซึ่งนั่นก็คือตัวฝุ่นหรือไรฝุ่นนั่นเอง โดยไรฝุ่นนั้นเป็นตัวไรขนาดจิ๋ว ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มักจะเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า เครื่องนอน หรือแม้กระทั่งพรม และผ้าม่านในบ้าน ทำให้ผู้ที่ถูกไรฝุ่นกัดเกิดอาการคันยุบยิบ สำหรับบางคนที่มีอาการแพ้จากไรฝุ่นกัดอาจมีอาการที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ไรฝุ่นยังเป็นสาเหตุของอาการแพ้และโรคหอบหืดอีกด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องกำจัดไรฝุ่นอยู่เสมอเพื่อปกป้องคนในบ้านไม่ให้ไรฝุ่นกัดและเป็นโรคหอบหืดได้ เรามาดูกันเลยว่าจะสามารถกำจัดไรฝุ่นเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง อาการเหล่านี้ ถูกไรฝุ่นกัดชัดๆ เนื่องจากไรฝุ่นคือไรตัวเล็กที่มีขนาดเพียง 0.3 มิลลิเมตร จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเปล่า โดยตัวไรฝุ่นมักอาศัยอยู่ตามใยผ้า คอยกัดกินเศษผิวหนังและรังแคของเราเป็นอาหาร นอกจากนั้น ยังสามารถพบได้ตามที่นอน พรม ผ้าม่าน หรือตุ๊กตา และโซฟ้าผ้า ทั้งนี้ ตัวไรฝุ่นจะเติบโตได้ดีที่สุดในอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส จึงทำให้ตัวไรฝุ่นชอบความชื้น สอดคล้องกับตัวเราที่อยู่ในนอนที่มีอุณหภูมิดังกล่าว จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกไรฝุ่นกัด นอกจากนั้น เมื่อโดนไรฝุ่นกัดก็จะเกิดอาการต่างๆ เหล่านี้ตามมาอีกด้วย ไรฝุ่นกัดมีอาการอย่างไรบ้าง รักษาอาการแพ้ เมื่อถูกไรฝุ่นกัด การถูกไรฝุ่นกัด นอกจากจะส่งผลให้เกิดภูมิแพ้หรือหอบหืดแล้ว ยังทำให้บางคนมีอาการตั้งแต่คันยุบยิบตามตา จมูก บางครั้งอาจมีน้ำมูกไหลด้วย เป็นต้น ซึ่งอาการแพ้ไรฝุ่นในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับการรักษาอาการแพ้ไรฝุ่นก็จะต่างกันไปด้วยเช่นกัน ดังนี้ ทานนยาแก้แพ้ ในกรณีที่คุณถูกไรฝุ่นกัดและมีอาการตามมา เช่น ไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หรือผื่นขึ้นจากอาการภูมิแพ้ ให้ทำการกินยาแก้แพ้ซึ่งมีทั้งชนิดเม็ดซึ่งเหมาะสำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่และแบบน้ำที่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะทานง่ายและป้องกันการติดคอด้วย โดยยาที่คนส่วนมากนิยมรับประทาน ได้แก่ ยาคลอร์เฟนิรามีนหรือยาบรอมเฟนิรามีน เป็นต้น เนื่องจากสรรพคุณที่ช่วยลดน้ำมูกและบรรเทาอาการไอ จาม คัดจมูก รวมถึงอาการผื่นคันได้ด้วย การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นวิธีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ที่นอกจากอาศัยการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายแล้ว ยังมีการรักษาด้วยการเริ่มจากปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีการพัฒนาสภาพอารมณ์และจิตใจให้กลายเป็นคนที่แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมรับมือและป้องกันอาการที่เกิดจากไรฝุ่นกัดอย่างมีประสิทธิภาพ 5 วิธีกำจัดไรฝุ่นตัวร้าย ต้นเหตุภูมิแพ้ ด้วยปัญหาไรฝุ่นกัดอันเกิดจากไรตัวเล็กได้อาศัยอยู่ตามที่นอน หมอนมุ้ง ผ้าห่ม หรือผ้าม่าน จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้ได้ นอกจากนั้น ยังอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจอีกด้วย ดังนั้น การกำจัดไรฝุ่นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทำความสะอาดที่นอนหรือกำจัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยไม่ให้ไรฝุ่นกวนใจเราได้อีก เปลี่ยนเครื่องนอนเสมอ ที่นอนถือเป็นแหล่งรวมของตัวไรฝุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นจุดที่เกิดความชื้นง่าย เนื่องมาจากคราบเหงื่อและเศษผมที่อยู่บนเตียง ดังนั้น การเปลี่ยนเครื่องนอนอยู่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนหนุนศีรษะหรือปลอกหมอนข้างจะช่วยให้ไรฝุ่นเหล่านี้หายไปจากที่นอนของเรา ทั้งยังช่วยป้องกันและยับยั้งไม่ให้เกิดอาการแพ้ได้ด้วย ทำความสะอาดเครื่องนอน หากเรามีผ้าปูที่นอนหรือปลอกหมอนจำกัด ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆ การนำไปทำความสะอาดแล้วค่อยนำกลับมาใช้ใหม่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยกำจัดไรฝุ่นได้เช่นกัน โดยให้ทำการซักชุดเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนอุณหูภูมิ 60 องศา จากนั้นนำไปตากแดดจัด จะช่วยกำจัดไรฝุ่นและแบคทีเรียที่คอยเกาะอยู่ตามชุดเครื่องนอนนั้นหายไป ซึ่งการทำความสะอาดนั้น ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อสุขอนามัยที่ดีของคุณและคนในบ้าน กำจัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ ปัญหาไรฝุ่นกัดจะหมดไป ถ้าเราหมั่นกำจัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อกำจัดฝุ่นละอองหรือการชุบน้ำหมาดเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ส่วนต่างๆ ภายในบ้าน เพียงเท่านี้ ก็หมดปัญหากวนใจเรื่องไรฝุ่นแล้ว กำจัดของที่ไม่ใช้ และตัวการเกิดฝุ่น การกำจัดของที่ไม่ใช้แล้วเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันอาการแพ้จากไรฝุ่นกัดได้ โดยให้เริ่มจากการสำรวจดูสิ่งของภายในบ้านว่ามีอะไรที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้แล้ว จากนั้นให้นำไปทิ้ง เพราะอย่าลืมว่า หากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากจะทำให้เกิดฝุ่นละอองและคราบสกปรกแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของไรฝุ่นอีกด้วย วิธีป้องกันไรฝุ่นตัวจิ๋วไม่ให้กลับมากวนใจอีก นอกจากการใช้วิธีกำจัดไรฝุ่นแล้ว การป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นเกิดและเติบโตในบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกไรฝุ่นกัดจนเกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงควรหมั่นทำความสะอาด มีการควบคุมความชื้นหรืออุณหภูมิภายในบ้าน เป็นต้น ทำความสะอาด กำจัดฝุ่นในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน หรือห้องนอน ก็ถือว่าเป็นแหล่งพักผ่อนและทำกิจกรรมที่สำคัญของคนในบ้าน ดังนั้น การทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นภายในห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปัด กวาด เช็ด หรือถู จะทำให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ ถูกกำจัดออกไป ช่วยให้ห้องดูสะอาดและเรียบร้อย ทั้งยังส่งผลให้สภาพแวดล้อมภายในบ้านดีขึ้นอีกด้วย ควบคุมความชื้นภายในบ้าน ความชื้นภายในบ้านเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากทั้งสภาพอากาศนอกบ้านและในบ้าน รวมถึงจากการใช้น้ำ อาบน้ำ ซักผ้า หรือล้างจาน ประกอบกับไรฝุ่นมักชอบอาศัยอยู่ในที่ที่มีความชื้น ดังนั้น การควบคุมความชื้นด้วยการเปิดช่องระบายอากาศ ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ หรือการเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาในบ้าน จะช่วยขจัดความชื้นเหล่านั้นออกไป ทำให้คุณและคนในบ้านหมดปัญหาไรฝุ่นกัดและอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น ควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน เนื่องจากไรฝุ่นเติบโตในอุณหภูมิที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้น จึงขอแนะนำให้คุณทำความสะอาดในพื้นที่ที่มีความอุ่นหรืออุณหภูมิสูงกว่าจุดอื่น เช่น เตียงนอน โซฟา หรือเก้าอี้ เนื่องจากเป็นส่วนที่เรามักนั่งหรือนอนภายในบ้านอยู่บ่อยๆ รวมไปถึงการล้างสิ่งของหรือทำความสะอาดด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อและกำจัดไรฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไรฝุ่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากๆ จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยเปล่า มักจะเกาะอยู่ตามที่นอน เสื้อผ้า ตุ๊กตา และผ้าม่าน โดยอาศัยความชื้นจากร่างกายในการเจริญเติบโต จนทำให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และพัฒนากลายเป็นภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไรฝุ่นกัดเป็นเพียงการอธิบายถึงอาการแพ้ไรฝุ่น ที่ทำให้เกิดรอยแดง อาการคัน บางครั้งอาจมีอาการอื่นๆ อย่างอาการจาม และน้ำมูกไหลร่วมด้วย เราจึงต้องกำจัดไรฝุ่นด้วยการนำที่นอนไปตากแดดลดความชื้น ทำความสะอาดที่นอนสม่ำเสมอ และดูดฝุ่นเป็นประจำเพื่อไม่ให้ไรฝุ่นเจริญเติบโตและมีจำนวนมากขึ้น

เชื้อราบนหนังศีรษะ เกิดจากอะไร? คลิกเลย! จะได้ไม่ต้อง คันหัว อีกต่อไป

เชื่อว่าเหล่าแม่ ๆ หรือสาว ๆ ชาวออฟฟิศหลายคนที่ต้องทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอถึงเวลาอาบน้ำสระผมเสร็จก็หมดแรงที่จะเป่าผมให้แห้งและอยากจะรีบเข้านอน ถึงแม้จะเย็นสบายแต่รู้หรือไม่ว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะตามมาซึ่งส่งผลเสียต่อความมั่นใจได้ วันนี้เราจะไปทำความเข้าใจและรู้จักวิธีแก้ไขปัญหานี้กัน 4 สาเหตุของเชื้อราบนหนังศีรษะ เชื้อราบนหนังศีรษะมีหลากหลายชนิดและหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ชนิดนั้นก็เกิดจากตัวเชื้อราที่แตกต่างกันไป แต่หลัก ๆ นั้นเชื้อราบนหนังศีรษะจะเกิดจาก 4 สาเหตุดังต่อไปนี้ 1.        เชื้อราจากโรคกลากหรือชันนะตุชันนะตุ (Tinea capitis) คือ โรคติดเชื้อราบนหนังศีรษะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่มักพบมากในเด็กอายุ 6–12 ปี สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ด้วยการสัมผัสใกล้ชิดหรือใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น หวี ผ้าเช็ดตัว หมอน เป็นต้น หรือติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น สุนัข ลูกแมว เป็นต้น โรคชันนะตุมีสาเหตุการเกิดมาจากเชื้อราชนิดเดียวกับโรคกลาก ซึ่งเชื้อราชนิดนี้มีชื่อว่า เดอมาโทไฟต์ (Dermatophytes) เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของเส้นผม เล็บ และผิวหนังชั้นนอกของมนุษย์ จะเติบโตได้ดีในที่ที่มีอุณหภูมิร้อนชื้น สามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งแต่จะเกิดมากในบริเวณที่สร้างน้ำมันมาก เช่น ศีรษะ เปลือกตา ขนตา ดั้งจมูก ริมฝีปาก หลังใบหูหรือใบหู โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคชันนะตุจะมีอาการ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เส้นผมเปราะบางและหักจนเห็นเป็นจุดสีดำ บริเวณที่ติดเชื้อรา หนังศีรษะตกสะเก็ดเป็นจุดกลม ๆ บางรายอาจมีผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง เป็นขุยหรือบวม มีตุ่มหนองที่กดแล้วจะรู้สึกเจ็บ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคันศีรษะอย่างมาก เมื่อเกาจนเป็นแผลก็อาจเกิดการติดเชื้อได้และเกิดรอยแผลเป็นได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีไข้ต่ำหรือต่อมน้ำเหลืองในลำคอโตอีกด้วย ซึ่งกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อชันนะตุมากที่สุดจะเป็นกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็ก เพราะในกลุ่มโรงเรียนและสถานเลี้ยงดูเด็กที่มักจะมีการสัมผัสหรือเล่นกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เนื่องจากน้องหมาน้องแมวอาจจะติดเชื้อราชนิดนี้อยู่แต่ไม่แสดงอาการ เมื่อได้เล่นหรือสัมผัสก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดต่อได้ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่หนังศีรษะ ผู้ที่ไม่ได้อาบน้ำหรือสระผมเป็นประจำ ผู้ที่มีผิวหนังเปียกชื้นจากเหงื่อเป็นเวลานาน และผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง และผู้ป่วยภาวะขาดสารอาหาร 2.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากการติดเชื้อรากรณีนี้จัดว่าพบได้น้อย เพราะเชื้อราก่อโรคมักเป็นเชื้อราที่พบได้ในสิ่งแวดล้อม เช่น โรคมิวคอร์ไมโคซิส (Mucormycosis) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคราดำ ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านการหายใจและทางบาดแผลเปิดเท่านั้น ซึ่งเชื้อราเหล่านี้จะพบได้ในดิน ปุ๋ยหมัก ใบไม้ ไม้ผุ และยังพบได้ในผัก ผลไม้หรือขนมปังที่หมดอายุแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อราชนิดนี้ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะไม่เกิดอาการป่วยแม้จะได้รับเชื้อราชนิดนี้ ในทางกลับกันสำหรับผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะมีโอกาสที่จะติดเชื้อราชนิดนี้ได้ง่าย ซึ่งราดำที่เกิดขึ้นที่ผิวหนังรวมถึงหนังศีรษะจะทำให้ผู้ป่วยปวด รู้สึกอุ่นบริเวณแผล เกิดรอยแดงอย่างรุนแรง หลังจากนั้นบริเวณที่ติดเชื้อจะเปลี่ยนเป็นสีดำ หรือมีอาการบวมรอบ ๆ บาดแผล โดยกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอจากการป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรค HIV มีภาวะขาดสมดุลของกรดด่างของสารน้ำในร่างกาย (Metabolic Acidosis) ใช้ยาบางชนิดหรือใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่กำลังฟื้นตัวจากการผ่าตัดหรือปลูกถ่ายอวัยวะและผู้ที่มีแผลไฟไหม้อีกด้วย 3.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากโรคเซ็บเดิร์มโรคเซ็บเดิร์ม มีชื่อเต็มว่า Seborrheic Dermatitis คือ โรคที่เกิดจากภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง ซึ่งโรคนี้จัดว่าเป็นโรคเรื้อรัง และส่งผลต่อชีวิตประจำวันเพราะบริเวณที่พบบ่อยคือ ใบหน้า โดยจะขึ้นช่วงหัวคิ้ว ข้างจมูก หลังหู เป็นต้น ทำให้ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังชนิดนี้ขาดความมั่นใจได้ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาการอักเสบของยีสต์ Malassezia ส่วนเกิน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปกติอาศัยอยู่บนผิวหนัง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีภาวะทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน ภาวะซึมเศร้า ภาวะเครียด และผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมไปถึงการระคายเคืองของผิวหนังที่เกิดจากการได้รับสารซักฟอกชนิดรุนแรง ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ผู้ที่มีอาการผิวหนังอักเสบที่เกิดจากโรคเซ็บเดิร์มจะมีผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือสีเหลือง เป็นสะเก็ดแข็งบนหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้ หรือตามร่างกายส่วนอื่น ๆ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นบริเวณศีรษะผิวหนังตกสะเก็ดเป็นรังแคบนหนังศีรษะ หรือบริเวณที่มีเส้นผม คิ้ว หรือหนวดเครานอกจากนี้ยังอาจมีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุย เปลือกตาอักเสบ แดง หรือมีสะเก็ดแข็งติด และอาจมีอาการปวดหรือผมร่วงร่วมด้วย สำหรับในเด็กทารกนั้นมักจะมีเกล็ดสีเหลืองหรือน้ำตาลบนศีรษะ แต่จะหายไปก่อนอายุครบ 1 ปี อาการผิวหนังอักเสบที่เกิดจากโรคเซ็บเดิร์มไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน และบางครั้งก็มีอาการคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ เช่น สิว เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเป็นโรคเซ็บเดิร์มได้แก่ เด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพราะร่างกายเริ่มมีการสร้างต่อมไขมันขึ้นมา รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือนอีกด้วย 4.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากโรคสะเก็ดเงินโรคสะเก็ดเงิน เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเกิดการแบ่งตัวหรือเติบโตเร็วกว่าปกติ จนสะสมกันจนหนาขึ้นเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะที่ขอบหนังศีรษะหรือไรผม ทำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีขุยสีขาวหนาและเห็นขอบชัดเจน ซึ่งจะต่างจากรังแคธรรมดา ที่จะไม่มีขอบขุยสีขาว อาการของโรคสะเก็ดเงินจัดว่าไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้อาจเกิดอาการคันและเกาจนเป็นแผล ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อได้ วิธีการวินิจฉัยโรค               อาการเชื้อราบนหนังศีรษะที่เกิดจากทุกสาเหตุจะมีวิธีการวินิจฉัยที่คล้ายคลึงกัน คือแพทย์จะตรวจดูลักษณะของเชื้อราบนหนังศีรษะ หรือเก็บตัวอย่างผิวหนังไปตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยและจำแนกชนิดของเชื้อราที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันเชื้อราบนหนังศีรษะ ·       ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคนใกล้ชิดหรือสัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคผิวหนังโดยตรง และหมั่นทำความสะอาดของใช้อยู่เสมอ อย่าใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน ·       อาบน้ำและสระผมให้สะอาด และซับผิวหนังหรือเป่าผมให้แห้ง ·       โกนหนวดเคราเป็นประจำ ·       ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ก่อนและหลังใช้ห้องน้ำทุกครั้ง ·       ใช้นำมันมะกอกหมักผมไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อกำจัดสะเก็ดบนหนังศีรษะออกและช่วยให้ผมนุ่มลื่นขึ้น ·       หากได้รับยา ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ·       ขจัดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ แม้โรคเชื้อราบนหนังศีรษะจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถทำลายความมั่นใจได้ หมั่นดูแลร่างกายและรักษาความสะอาดเป็นประจำ ก็ช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรงได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth แหล่งที่มาของข้อมูล ·       คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลhttps://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/06232020-1449 ·       เว็บไซต์ Helloคุณหมอhttps://bit.ly/3iim2jg ·       เว็บไซต์พบแพทย์https://bit.ly/3im453jhttps://www.pobpad.com/mucormycosis ·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/skin-diseases ·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์https://www.bumrungrad.com/th/conditions/hair-loss ·       งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีhttps://bit.ly/3ucvLdQ ·       โรงพยาบาลสมิติเวชhttps://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/sebderm ·       โรงพยาบาลธนบุรี2https://bit.ly/3H1h451

THE SHOCK! คราบเหลือง เรื่องหลอนใต้ปลอกหมอน

เคยสงสัยกันมั้ยว่าคราบเหลืองที่หมอนมันมาจากไหน ได้แต่คิดกับตัวเองว่าเราสกปรกหรอ? เรานอนน้ำลายไหลหรอ? ทำไมกัน มันเกิดจากอะไรกันแน่?! คำตอบก็คือ “เหงื่อ” นั่นเอง! 🥵 ระหว่างที่เรานอนหลับไม่รู้เรื่อง ร่างกายก็ยังทำงาน ขับเหงื่อ ขับเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากร่างกายในขณะที่เราไม่รู้ตัว บวกกับผลิตภัณฑ์ดูแลความงามที่เราชโลมก่อนนอนทุกคืนที่ติดหมอนมาบ้าง เมื่อสะสมเป็นเวลานานก็สามารถทำให้เกิดเป็นคราบเหลืองที่หมอนได้ รู้อย่างนี้แล้วก็อาจจะเบาใจไปได้เปลาะหนึ่งว่าเราไม่ได้สกปรกน้า 🤧 แต่ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ เพราะการสะสมของคราบเหลือง ก็คือการสะสมของเชื้อราดีๆ นี่เอง รวมถึงแบคทีเรีย ไรฝุ่นต่างๆ ซึ่งใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือแม้แต่คนที่อยากระวังการเกิดสิว ก็ต้องระวังไว้ให้ดีเลยล่ะ! ถึงเวลาแล้วที่จะต้องซัก! หมอนนั้นอาจจะไม่ได้ซักกันบ่อยๆ แต่ก็ซักได้นะ! 🧺 ศึกษาวิธีซักตามป้าย – หมอนบางชนิดอาจซักเครื่องไม่ได้ เช็คให้ดีก่อน🧺 ซักแยกกับผ้าชนิดอื่น – รวมถึงอย่ายัดผ้าใส่เครื่องจนแน่นเกินไป เพื่อให้พื้นที่ในการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง🧺 จัดการคราบฝังลึกก่อน – ตรงไหนที่เป็นคราบเหลืองฝังลึก ให้จัดการ 1 รอบก่อนนำไปซักอีกครั้ง🧺 ซักหมอนอย่างน้อย 2 ครั้ง/ปี – อย่าปล่อยให้คราบสะสมจนซักไม่ออกล่ะ!🧺 ซักปลอกหมอนอย่างน้อย 1 ครั้ง/อาทิตย์ – ใกล้ชิดใบหน้าเราที่สุดก็ปลอกหมอนนี่แหละ หมั่นซักบ่อยๆ เข้าไว้น้า🧺 ตากให้แห้งสนิทก่อนนำมาใช้ – ตั้งใจซักแล้วก็ต้องตั้งใจตากด้วย ไม่อย่างนั้นเชื้อราและความอับชื้นก็อาจถามหาเช่นกัน ขอแนะนำ! ทางเลือกสุดอ่อนโยน ⛅️ Soganics Laundry Liquid & Fabric Softener น้ำยาซักผ้าออร์แกนิคส์ 🍃 ถึงจะอ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพ ขจัดคราบด้วยพลังของเอนไซม์ธรรมชาติ รับรองว่าไม่ระคายเคือง เพราะผ่านการทดสอบจากสถาบันผิวหนัง (Dermatologically Tested) ใช้กับน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นลาเวนเดอร์เพื่อเพิ่มความหอมนอนสบาย แต่ไม่ฉุน บอกเลยว่าเป็นกลิ่นที่พอดีพอเหมาะกับปลอกหมอนเครื่องนอนสุดๆ 😴

“เชื้อรา” บนเตียง-ผ้าห่ม อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

เหตุผลที่เราควรซักและตากผ้าปูเตียง และผ้าห่มบ่อยๆ เพราะส่งผลถึงสุขภาพของเราได้โดยตรง เสี่ยงโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อราคือความอับชื้นที่สะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ของบ้าน โดยจะพบร่องรอยของเชื้อราได้ตามเฟอร์นิเจอร์เครื่องนอน ตู้เสื้อผ้า และพื้นที่ที่มีรูรั่วหรือรอยแตกของบ้านที่มีน้ำซึมและน้ำรั่วไหลเข้าภายในบ้าน ทำให้เปียกและอับชื้นเกิดเป็นแหล่งของเชื้อราได้หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพและก่อให้เกิดโรค  เชื้อราบนเตียง ในผ้าห่ม ส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง เนื่องจากเชื้อราสามารถสร้างสปอร์ให้กระจายออกไปในอากาศ เมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น  และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา เช่น โรคหอบหืดโรคปอดอักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้ เมื่อได้สัมผัสเชื้อราทางผิวหนังหรือการสูดดม จะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ เช่น  เป็นต้น วิธีกำจัดเชื้อราบนเตียง ผ้าห่ม และส่วนต่างๆ ภายในบ้าน สำหรับวิธีการกำจัดเชื้อราในบ้าน สามารถทำตามคำแนะนำได้ ดังนี้

ปลอกหมอนตัวร้ายกับเจ้าสิวสุดดื้อ

คนเป็นสิวหลายคนมักจะโฟกัสอยู่ที่การใช้ครีมแก้สิว หรือการล้างหน้าทำความสะอาดผิว ลองมาหลายยี่ห้อ ใช้มาหลายแบบทั้งแบบอ่อนโยนจนถึงแบบแรงๆ สะใจ แต่สิวเรื้อรัง ผื่นแพ้ ก็ไม่ยอมหายสักทีต้องรักษากันอย่างยาวนาน การดูแลผิวจึงอาจโฟกัสไปผิดจุดเพราะหมอที่ดูแลก็ไม่ทราบได้เลยว่าที่สิวไม่หายเกิดจากสาเหตุใด หลายคนต่างหลงลืมเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่เราต้องอยู่กับมันถึง 1 ใน 4 ของวันเลยทีเดียว ก็คือปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าขนหนู และสารเคมี ต่างๆ ที่เราใช้ประจำวันนั่นเอง ปลอกหมอนตัวร้าย เพราะเราใช้เวลากับปลอกหมอนนานที่สุดในแต่ละวัน ใบหน้าที่แนบอยู่กับหมอน ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ อาจมีสิ่งสกปรกสะสมโดยเราไม่รู้ตัว ในปลอกหมอนต่างมีทั้งคราบเหงื่อไคล คราบน้ำลาย เซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมันจากผิวหน้า ครีมส่วนเกินที่เราทาก่อนนอน ทั้งหมดเหล่านี้ต่างเป็นอาหารของแบคทีเรีย เป็นสาเหตุของการระคายเคืองเมื่อผิวหน้าเราไปสัมผัส เราสามารถป้องกันอาการอักเสบจากสิ่งสกปรกเหล่านี้ได้ง่ายด้วยการหมั่นเอาปลอกหมอนไปซักทุก 1 อาทิตย์ และตากแดดฆ่าเชื้อที่สะสมอยู่ ป้องกันสาเหตุการเกิดสิว นอกจากปลอกหมอนควรหลีกเลี่ยงอะไรอีก – ผ้าเช็ดตัว เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ซักบ่อยๆ แต่ใช้วิธีตากผึ่งไว้ก่อนจะนำมาใช้ครั้งต่อไป ผู้มีปัญหาสิวอาจเลือกซักบ่อยขึ้นหรือใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ เน้นใช้ผ้าที่สะอาดไร้แบคทีเรียสะสม – น้ำยาปรับผ้านุ่ม มีส่วนผสมของน้ำหอมที่หลายคนมักเกิดอาการแพ้แต่เราใช้อย่างไม่รู้ตัว – ยาสีฟันมักทำให้เกิดสิวที่คาง เวลาเราแปรงฟันอาจมีส่วนกระเด็นตกค้างบริเวณคาง หลายคนจึงมักเกิดสิวเรื้อรังบริเวณคาง เพราะฟลูออไรด์เป็นสิ่งที่คนมักเกิดอาการแพ้ได้ง่าย – ของไกล้ตัว เช่น ต่างหู กำไร นาฬิกา แว่นตา ที่มีนิเกิลเป็นส่วนประกอบ – แก้ปัญหาอาการสิวและผดผื่นแพ้จากสารไกล้ตัว เพราะสารเคมี เชื้อโรค อยู่ไกล้กับผิวเรามากกว่าที่คิด ผิวจึงต้องการการปกป้องให้แข็งแรงขึ้นเพื่อป้องกันอาการแพ้ง่าย เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีความอ่อนโยนสูงช่วยลดโอกาสการแพ้ได้ เช่นใน Pan Dermacare ที่มีคุณสมบัติ Dual-Hypoallergenic คือเป็น Emulsifier-free ปราศจากสารเสี่ยงต่ออาการแพ้ และ Nickel block ป้องกันการแพ้สารนิเกิลจากสารเคลือบไกล้ตัวต่างๆ ใช้วิธีสกัดกั้น (Block) สัญญาณการเกิดรอยแดง ป้องกันการอักเสบ พร้อมบำรุงผิวให้เกิดความแข็งแรงจากภายใน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่าย หรือกำลังรักษาผิวจากอาการผดผื่น